การสักทางการแพทย์
(Paramedical Tattoo)
การสักปิดแผล หรือที่เรียกว่า การสักทางการแพทย์ (Paramedical Tattoo) เป็นวิธีการใช้เทคนิคการสักเพื่ออำพรางรอยแผลเป็น, แผลไฟไหม้, หรือความผิดปกติของสีผิวอื่นๆ โดยใช้สีที่ใกล้เคียงกับผิวจริง ร่วมกับการสร้างมิติด้วยแสงและเงา เพื่อให้แผลเป็นดูกลมกลืนไปกับผิว การสักปิดแผลมีข้อดีคือช่วยเพิ่มความมั่นใจ, ปรับบุคลิกภาพ, และสามารถเลือกรูปแบบที่สวยงามได้ แต่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการสักและแพทย์, เลือกช่างที่มีประสบการณ์, และรอให้แผลเป็นหายสนิท (Mature Scar) แล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด
ประเภทของแผล
ที่สามารถสักปิดได้
* แผลเป็นจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัด
* แผลคีลอยด์ (Keloild) ที่มีความนูนหรือไม่สม่ำเสมอ
* แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
* โรคด่างขาว (Vitiligo) เพื่อปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
* แผลคีลอยด์ (Keloild) ที่มีความนูนหรือไม่สม่ำเสมอ
* แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
* โรคด่างขาว (Vitiligo) เพื่อปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ข้อควรพิจารณา
ก่อนตัดสินใจสักปิดแผล
1. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังหรือการตกแต่ง หรือช่างสักทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อประเมินสภาพแผลและความเหมาะสม
2. รอให้แผลหายสนิท: ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือนานกว่านั้นสำหรับแผลใหญ่ เพื่อให้แผลเป็นเข้าสู่ภาวะ “Mature Scar” หรือแผลที่เป็นแล้ว
3. เลือกช่างสักที่มีความเชี่ยวชาญ: เลือกช่างสักที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการสักเพื่อการรักษา (Therapeutic Tattoo) และมีผลงานที่น่าเชื่อถือ
4. ความสะอาดและวัสดุ: เลือกร้านสักที่ได้มาตรฐานความสะอาด มีการฆ่าเชื้อที่ถูกหลักการแพทย์ และใช้อุปกรณ์ที่สะอาด
2. รอให้แผลหายสนิท: ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือนานกว่านั้นสำหรับแผลใหญ่ เพื่อให้แผลเป็นเข้าสู่ภาวะ “Mature Scar” หรือแผลที่เป็นแล้ว
3. เลือกช่างสักที่มีความเชี่ยวชาญ: เลือกช่างสักที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการสักเพื่อการรักษา (Therapeutic Tattoo) และมีผลงานที่น่าเชื่อถือ
4. ความสะอาดและวัสดุ: เลือกร้านสักที่ได้มาตรฐานความสะอาด มีการฆ่าเชื้อที่ถูกหลักการแพทย์ และใช้อุปกรณ์ที่สะอาด
ประเภทของแผล
ที่สามารถสักปิดได้
* แผลเป็นจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัด
* แผลคีลอยด์ (Keloild) ที่มีความนูนหรือไม่สม่ำเสมอ
* แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
* โรคด่างขาว (Vitiligo) เพื่อปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ข้อควรพิจารณา
ก่อนตัดสินใจสักปิดแผล
1. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังหรือการตกแต่ง หรือช่างสักทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อประเมินสภาพแผลและความเหมาะสม
2. รอให้แผลหายสนิท: ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือนานกว่านั้นสำหรับแผลใหญ่ เพื่อให้แผลเป็นเข้าสู่ภาวะ “Mature Scar” หรือแผลที่เป็นแล้ว
3. เลือกช่างสักที่มีความเชี่ยวชาญ: เลือกช่างสักที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการสักเพื่อการรักษา (Therapeutic Tattoo) และมีผลงานที่น่าเชื่อถือ
4. ความสะอาดและวัสดุ: เลือกร้านสักที่ได้มาตรฐานความสะอาด มีการฆ่าเชื้อที่ถูกหลักการแพทย์ และใช้อุปกรณ์ที่สะอาด
2. รอให้แผลหายสนิท: ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือนานกว่านั้นสำหรับแผลใหญ่ เพื่อให้แผลเป็นเข้าสู่ภาวะ “Mature Scar” หรือแผลที่เป็นแล้ว
3. เลือกช่างสักที่มีความเชี่ยวชาญ: เลือกช่างสักที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการสักเพื่อการรักษา (Therapeutic Tattoo) และมีผลงานที่น่าเชื่อถือ
4. ความสะอาดและวัสดุ: เลือกร้านสักที่ได้มาตรฐานความสะอาด มีการฆ่าเชื้อที่ถูกหลักการแพทย์ และใช้อุปกรณ์ที่สะอาด
ข้อดีของการสักปิดแผล
* กลบรอยแผล: ได้อย่างสวยงามและกลมกลืน
* เสริมความมั่นใจ: และลดความไม่สบายใจจากรอยแผล
* ปรับบุคลิกภาพ: และสามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้มั่นใจขึ้น
* เสริมความมั่นใจ: และลดความไม่สบายใจจากรอยแผล
* ปรับบุคลิกภาพ: และสามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้มั่นใจขึ้น
การดูแลหลังการสัก
* ปฏิบัติตามคำแนะนำของช่างสักอย่างเคร่งครัด<br>
* ดูแลความสะอาดของบริเวณที่สักสม่ำเสมอ<br>
* ทาครีมบำรุงผิวเพื่อช่วยให้การหายของสีและผิวดีขึ้น
ข้อดีของการสักปิดแผล
* กลบรอยแผล: ได้อย่างสวยงามและกลมกลืน
* เสริมความมั่นใจ: และลดความไม่สบายใจจากรอยแผล
* ปรับบุคลิกภาพ: และสามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้มั่นใจขึ้น
* เสริมความมั่นใจ: และลดความไม่สบายใจจากรอยแผล
* ปรับบุคลิกภาพ: และสามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้มั่นใจขึ้น
การดูแลหลังการสัก
* ปฏิบัติตามคำแนะนำของช่างสักอย่างเคร่งครัด
* ดูแลความสะอาดของบริเวณที่สักสม่ำเสมอ
* ทาครีมบำรุงผิวเพื่อช่วยให้การหายของสีและผิวดีขึ้น
